เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓ ก.ค. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ฟังธรรมะเนาะ สัจธรรม ฟังสัจธรรมเพราะสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิต ฝนตก ดูฝนมันตก มันได้น้ำ มันได้อาหารของมัน ปกคลุมไป ร่มรื่นไปหมดเลย สิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตมันแสวงหา มันแสวงหา มันต้องแสวงหาเพื่อดำรงชีวิตของเขา

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของเรามันเป็นสิ่งมีชีวิต มันเป็นสิ่งมีชีวิต มันมีคุณค่า ถ้ามีคุณค่าขึ้นมา เวลาเกิดมาแล้ว เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาเกิดมา เกิดมาครอบครัวที่พรั่งพร้อม เกิดมาเด็กก็มีความสุขมีความสบาย เกิดมาทุกข์จนเข็ญใจ มันก็ประสาเด็ก เด็กมันไม่รู้เรื่องหรอก ประสาเด็ก แต่มันอยู่ที่การฝึกฝน ถ้าเด็กมันฝึกฝนดีนะ คนเราไม่ใช่ดีเพราะว่าการเกิด แต่ดีเพราะการกระทำ

ถ้ามันดี มันทำดีของมันนะ มันเป็นความดีของเขา ถ้าความดีของเขา สิ่งนี้เราจะฝึกฝนของเรา มันดีเพราะการฝึกฝนไง ถ้าเราฝึกฝนขึ้นไป สิ่งใดมันก็ดีงามไปทั้งนั้นน่ะ เราต้องการให้ลูกเรามีความสุขๆ ใช่ไหม ถ้ามีความสุข ความสุขมันสุขจากไหนล่ะ สุขจากความดีงามในใจของเขา ถ้าจิตใจเขาดีงาม ไปโรงเรียนของเขา เขานึกถึงเพื่อนของเขา เขาดูแลเพื่อนของเขา เขามีน้ำใจต่อเพื่อของเขา อันนั้นเป็นคุณงามความดีของเขา คุณงามความดีของเขา มันอยู่ที่การฝึกฝนของเราไง ถ้าอยู่ที่การฝึกฝนของเรา เราดูแลของเรา เยาวชนของเรา เราให้จิตใจของเขาเป็นคนที่ดีงาม ถ้าเป็นคนที่ดีงาม

ถ้าสังคม สังคมเกิดจากใคร สังคมเกิดจากมนุษย์รวมตัวกัน ถ้ามนุษย์รวมตัวกัน มนุษย์เป็นสิ่งที่ดี มนุษย์มันก็เป็นประโยชน์กับสังคมนั้น ถ้าสังคมนั้นมันดีขึ้นมา คนเราเห็นภัยในวัฏสงสาร เกิดมาเป็นฆราวาส เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราต้องดิ้นรนเพื่อดำรงชีวิตของเรา เห็นภัยในวัฏสงสาร เสียสละความเป็นฆราวาสใช่ไหม ฆราวาสถือศีล ๘ ถ้าศีล ๘ นะ เวลาเรามาบวชเป็นพระ ถ้าบวชเป็นพระ บวชเป็นพระเพื่ออะไร บวชเป็นพระเพื่อเป็นนักรบ รบกับอะไร รบกับกิเลสในใจของตน ถ้ารบกับกิเลสในใจของตน

สิ่งที่รบกับกิเลสในใจของตน เราเสียสละแล้ว สถานะที่ความเป็นฆราวาส มนุษย์ สิทธิเสรีภาพนั้นเราไม่พูดถึงมัน เพราะเราเสียสละมาแล้ว เราเสียสละมาเป็นนักรบ รบกับกิเลสของตน ถ้ารบกับกิเลสของตน ต้องตื่นตัวตลอดเวลา สังเกตได้ ครูบาอาจารย์องค์ไหนที่ท่านมีคุณธรรมของท่าน ท่านจะเป็นคนตรง เป็นคนที่มีสัตย์ เป็นคนที่ทำจริง คนจริงเท่านั้นจะเข้ากับความจริง ถ้าความจริงอันนั้น ถ้าความจริงอย่างนั้นแล้ว ถ้าเราฝึกหัดของเรา มันต้องเป็นคนจริง

ถ้าไม่จริง ผัดวันประกันพรุ่ง อ้างเล่ห์ไปเรื่อย อย่างโน้น อย่างนั้นๆ พออ้างเล่ห์ไปเรื่อย มันไม่ประสบความสำเร็จหรอก แต่ถ้ามันเป็นคนจริง ถ้าคนจริง ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติมา สมัยพุทธกาลนะ เวลาเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้พยากรณ์เท่านั้น แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนตั้งเอตทัคคะ พระอรหันต์มีความรู้แตกต่างกันไป มีอำนาจวาสนาแตกต่างกันไป แต่ความสำคัญ สำคัญตรงที่เป็นพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์เพราะเหตุใด

เป็นพระอรหันต์ ดูสิ เวลาพระอรหันต์เขาต่างคนต่างแสดงว่าทุกคน จริตนิสัยของคน ความถนัดของตนเป็นความดี ไปเถียงกันไม่จบไม่สิ้น ลงกันไม่ได้ ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าอาสวักขยญาณ ญาณหยั่งรู้ในความเป็นพระอรหันต์ มรรคอันนั้นน่ะ มรรคที่จะทำให้เป็นพระอรหันต์อันนั้นน่ะสำคัญที่สุด เพราะว่าอันนั้นมันสิ้นกิเลสไง

คนจะดีจะชั่วก็แล้วแต่ มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากบีบคั้นทั้งนั้นน่ะ มันมีความทุกข์บีบคั้นในหัวใจ ว่าคนดีๆ...ดีมันก็ดีโลกๆ ถ้ามันดีโลกๆ มันเรื่องของโลก ถ้าเรื่องของโลก ดูสิ คนที่เราเห็นว่าคนนั้นเป็นคุณงามความดีๆ แต่ถามว่าเขามีความสุขขนาดไหน ในใจของเขาก็มีความทุกข์บีบคั้นทั้งนั้น คนชั่ว คนชั่วก็ติดคุก คนชั่วก็โทษประหาร มันบีบคั้นทั้งนั้นน่ะ มันบีบคั้นทั้งนั้น นั่นเป็นเรื่องของโลก

เราบวชมาแล้ว บวชมา เสียสละมาแล้ว บวชมาเป็นพระ ถ้าบวชเป็นพระ เราเป็นฆราวาส เรามาวัดมาวามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ การประพฤติปฏิบัติขึ้นมา นั่นน่ะการประพฤติปฏิบัติ เวลาว่าพระอรหันต์เถียงกันๆ อาสวักขยญาณในใจของเขาประเสริฐที่สุด ที่เรามา เรามาแสวงหาสิ่งนี้ แสวงหาสิ่งนี้ เราจะเริ่มต้นด้วยอะไร เริ่มต้นด้วยสิ่งที่เป็นสัปปายะ สถานที่มันสงบระงับ สิ่งที่เป็นสัปปายะ กายข้างนอกเป็นสัปปายะ ในหัวใจเป็นสัปปายะ

ถ้าสัปปายะ ๔ หมู่คณะเป็นสัปปายะ มันพร้อมกันไง มันพร้อมกันกระทำร่วมกัน ร่วมกันเพราะอะไร เพราะมันไปในทิศทางเดียวกัน มันไม่ขัดไม่แย้งกัน ทิฏฐิเสมอกัน ความเห็นเสมอกัน อยู่กันมีความร่มเย็นเป็นสุขนะ ทิฏฐิแตกต่างกัน แล้ววัดแล้ววามันเป็น เวลาทางโลกประชาธิปไตย ดอกไม้หลากสีมันจะสวยงาม ดอกไม้หลากสี

ดอกไม้หลากสีมันก็อยู่ในแจกันอันนั้นมันถึงจะสวยงาม นี่ก็เหมือนกัน ความคิดความเห็นแตกต่างกันมาทั้งนั้นน่ะ ความรู้ความเห็นของคนไม่เหมือนกันทั้งนั้นน่ะ แต่มันก็ข้อวัตรปฏิบัติอันนั้น กติกาอันนี้อันเดียวกันไง ถ้ากติกาอันเดียวกัน มันต้องอยู่ในกติกาเดียวกัน ถ้าอยู่กติกาเดียวกัน นี่มันข้อวัตรนะ นี่มันเหมือนกับกฎ กฎมันก็คือระเบียบเท่านั้นเอง ยังไม่ได้ปฏิบัติอะไรเลย แล้วก็มาทำลายกฎกัน ทำลายกฎกัน ยื้อกันไปยื้อกันมา อันนู้นดีกว่าอันนี้ เถียงกันอยู่ที่กฎ มันไม่เข้าถึงศีล สมาธิ ปัญญาเลย

กฎก็คือกฎ คนที่สุขุมรอบคอบ เขาก็ไปอยู่ในที่สงบสงัดขณะนั้น เวลาพระปฏิบัติเข้าป่าเข้าเขาไปแล้วไปอยู่ที่สัตว์ร้าย ไปอยู่ในที่แรงๆ เขาไปเพื่ออะไรล่ะ เพราะเขาชอบที่อย่างนั้น คนที่เขานุ่มนวลของเขา เขาไปอยู่ในที่สงบสงัดก็พอ คนที่เขามีความวิตกกังวลขึ้นมา เขาก็ไปอยู่ในป่าช้า ก็แสวงหาสิ่งนั้น แสวงหาสิ่งนั้นเพราะมันชอบสิ่งนั้นๆ ชอบสิ่งนั้นเพื่อไม่ให้กิเลสมันฟูไง

ถ้าปฏิบัติจริง อยู่ที่ไหนก็ต้องปฏิบัติได้สิ

อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้ แต่ปฏิบัติพอเป็นพิธีไง ปฏิบัติพอเป็นรูปแบบไง แต่หัวใจมันเป็นจริงหรือเปล่า ถ้าหัวใจที่เป็นจริง จิตแก้จิต มันต้องทันกันน่ะ ถ้ามันทันกัน เราตั้งใจของเราจะให้มันทันกิเลสของเรา สิ่งใดที่มันชอบ หักทิ้ง

เวลาหลวงตาท่านเล่าให้ฟังว่าหลวงปู่หล้าๆ อยู่ที่บ้านผือด้วยกัน ถือธุดงควัตรด้วยกัน มันขาดแคลน อยู่บ้านนอกคอกนามันไม่ได้ดั่งใจหรอก สิ่งที่ได้มา อะไรที่มันชอบใจ จับปาทิ้ง จับปาทิ้ง

เขาใส่บาตรมา สัมมาอาชีวะ แต่พอมันชอบ เวลามันคุ้นเคย มันชอบ คนอยู่ในวัฒนธรรมใดเขาก็ชอบอาหารในวัฒนธรรมของเขา สิ่งใดเราเคยอยู่เคยกินอย่างไร เขาใส่บาตรมา กิเลสมันชอบ พอกิเลสมันชอบ ความรู้สึกนะ จับอาหารนั้นปาเข้าป่า ทั้งๆ ที่มันอดมันอยากอยู่แล้ว นี่จิตแก้จิต เพราะอะไร

อาหารก็คืออาหาร ความชอบ ความชอบ กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันล้นฝั่ง นี่บิณฑบาตอยู่ ยังไม่ถึงวัดเลย ยังไม่ได้จัดบาตรเลย กิเลสมันชอบก่อนแล้ว ถ้าชอบก่อนแล้วจับปาเข้าป่า นี่แก้ไขๆ เขาแก้ไขกันอย่างนั้น นี่พูดถึงเวลาแก้ไขอย่างนั้น

สิ่งที่จะแก้ไขในหัวใจของตน ถ้าหัวใจของตน คนดี ดูเด็กน้อยเราก็ฝึกหัดมันมา ฝึกหัดให้มันเติบโตขึ้นมาด้วยมารยาทสังคมของเขา เราจะฝึกจิตของเรา ที่มันฟุ้งมันซ่าน ที่มันทุกข์มันยากอยู่นี่ ที่มันทุกข์มันยากนะ เรื่องของโลกมันเป็นเรื่องของโลก เอาโลกเขามาในวัดมันก็เป็นเรื่องของโลก แต่เข้ามาในวัดปั๊บ วัดก็ต้องมีข้อวัตรปฏิบัติ วัดมันวัตร มันไม่ใช่วัดทั่วไป ถ้าวัดมันมีข้อวัตรของมันเพื่อดัดแปลงหัวใจของตน ถ้าดัดแปลงหัวใจของตน เดี๋ยวจะเข้าพรรษา พอเข้าพรรษาแล้วพระจะอธิษฐานธุดงค์เข้าไปอีก ศีลในศีล ธุดงค์ ๑๓ ใครไม่ทำก็ไม่เป็นอาบัติ แต่เราจะตั้งสัจจะว่าเราจะทำอะไรให้มันมากขึ้นไปๆ เพราะมันต้องมีการเปลี่ยนแปลงไง

สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง มันเปลี่ยนแปลงของมัน มันวิวัฒนาการของมัน แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญาของเราขึ้นมา จิตมันสงบแล้วเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง พิจารณาของมันไปแล้วถ้ามันเป็นไตรลักษณ์ ไตรลักษณะ ไตรลักษณะมันเป็น มันเป็นอย่างไร มันเป็นในหัวใจอย่างไร

เรารู้ สิ่งใดในโลกนี้มันไม่แน่นอนทั้งนั้น มันเป็นอนิจจัง มันเปลี่ยนแปลงไปทั้งนั้น แม้แต่ชีวิตของเรา แต่ชีวิตของเรา เราก็ยังอยู่ของเรา เราก็ยังประมาทในชีวิตของเราว่าเรายังอยู่อีกยาวไกลๆ

หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว เวลาตายไปแล้วก็เสียดายโอกาส เพราะตายไปแล้วมันจะพบสถานะสิ่งใด เสียดายโอกาส แต่ถ้ายังมีชีวิตอยู่ เราก็ทำของเรา ทำคุณงามความดีของเรา มีความดีมากน้อยขนาดไหน สะสมของเรามากขึ้นๆ ของเราขึ้นไป ถ้าทำความดีของเราขึ้นไปนะ เวลาจิตถ้ามันสมดุลของมัน เวลามันเป็นของมันนะ เขาเรียกว่าเวลาส้มหล่น เวลาส้มหล่น จริตนิสัยของมัน มันเป็นของมัน เวลาธรรมมันเกิดๆ มันมหัศจรรย์น่ะ เวลามันทุกข์มันยาก มันบีบคั้นหัวใจเรา มันบีบคั้นหัวใจเรา กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันสร้างเหตุสร้างผลมาบีบคั้นหัวใจ ยอมจำนนกับมันทั้งนั้นน่ะ

แต่เราตรึกในธรรมๆ ใช้ปัญญาแยกแยะของมันไป เวลามันเกิดธรรมสังเวช มันเกิดธรรมสังเวช ธรรมมันเกิด โอ้โฮ! มันขนพองสยองเกล้า การขนพองสยองเกล้านี่ธรรมมันเกิดๆ มันยังไม่เป็นมรรค ไม่เป็นมรรคตรงไหน ไม่เป็นมรรคเพราะจิตยังไม่สงบระงับเข้ามา

ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลคือความปกติของใจ สมาธิคือจิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่นแล้วถ้ามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิตตามความเป็นจริง เวลามันวิปัสสนาไป เราเป็นคนบริหารจัดการ เวลาครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติมา เวลาปัญญามันเกิด ปัญญามันเกิด มรรคมันเกิด ที่ปัญญามันหมุนไป มันหมุนติ้วๆ ในหัวใจ ท่านทำของท่านอย่างไร ถ้าอย่างนั้นถึงเรียกว่าเป็นอริยสัจ นั่นน่ะมันถึงจะเป็นมรรค เป็นมรรคเพราะอะไร เป็นมรรคเพราะมันมีครบของมัน มีศีล มีสมาธิ มีปัญญาในหัวใจของเราใช่ไหม

แต่นี่มันเป็นโลก เป็นโลกเพราะอะไร เป็นโลกเพราะเราคิดโดยสามัญสำนึกของเรานี่ไง เราตรึกในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เวลามันพิจารณาไป ธรรมสังเวช มันสังเวชไง เพราะมันเห็นเหตุเห็นผลมันก็สังเวช พอสังเวชขึ้นมามันก็สะเทือนหัวใจ พอสะเทือนหัวใจมันก็แปลกประหลาด มันแปลกประหลาดใหญ่เลย นี่ไง มันเป็นเรื่องโลกๆ ทั้งนั้นน่ะ เขาเรียกโลกียะ โลกียะคือเรื่องโลก โลกคือเกิดจากสัญชาตญาณของเรา

แต่ถ้าเป็นธรรมล่ะ ธรรมมันเหนือโลก เหนือโลกอย่างไรล่ะ พอเหนือโลก อวดอุตตริมนุสสธรรม ธรรมที่ไม่มีในตน ตั้งแต่สมาบัติ จิตสงบมันเป็นสมาบัติไหม ศีล สมาธิ ปัญญา สมาธิมันเป็นอะไร แล้วสมาธิเป็นอะไร เป็นสมาธิแล้ว ถ้าสมาธิจริงๆ นะ มันพูดเปรียบเทียบออกมาไม่เป็นหรอก มันได้แต่อึ้ง แต่ไอ้ที่โม้ๆ กันอยู่นี่มันสัญญาอารมณ์ทั้งนั้นน่ะ มันเป็นเรื่องโลกไง มันเรื่องโลกๆ ทั้งนั้นมันถึงพูดกันได้ไง เพราะเป็นภาษาสมมุติ แต่เป็นความจริงขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วถ้าศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเกิดสมาธิอย่างนั้น แล้วเกิดปัญญาอย่างนั้นขึ้นมา นี่ไง อวดอุตตริมนุสสธรรม ธรรมเหนือโลก นี่พูดถึงว่าเป็นวินัย เป็นศาสดาของเราที่บังคับไว้ให้สาวกสาวกะเป็นผู้ที่ยึดนี้เป็นหลักเป็นเกณฑ์

ฉะนั้น เวลาที่มันเกิดขึ้นมา คำว่า “ธรรมเหนือโลกๆ” มันเหนือโลกเหนือสงสาร มันเป็นสัจจะเป็นความจริง นี่ไง ที่เราค้นคว้าเราค้นคว้ากันอยู่นี่ ที่เรามาฝึกหัด เราฝึกหัดดัดแปลงของเรา ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา เราจะเป็นจริงขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาสวักขยญาณสำคัญที่สุด มรรคอันนี้สำคัญที่สุด เราฝึกหัดศีล สมาธิ ปัญญา เกิดปัญญาๆ ปัญญาที่เกิดจากการประพฤติปฏิบัติสำคัญที่สุด

แล้วสำคัญๆ สำคัญแค่ไหน

สำคัญที่ทำให้ไม่ต้องเกิด ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย มันสำคัญแค่ไหน

ถ้าเป็นความเห็นของเรา ไอ้นู่นก็สำคัญ ไอ้นี่ก็สำคัญ สำคัญขึ้นมาแล้วมันก็พลัดพรากทั้งนั้นน่ะ สำคัญขึ้นมาแล้วอะไรเป็นของเราบ้าง แต่เวลาปัญญาอันนั้นมันถอดมันถอนขึ้นไป มันถอดอวิชชาไปแล้ว ที่มันสำคัญ มันสำคัญเพราะมันจะไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายอีกแล้ว แล้วไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายแล้วมันมีอะไรของมันในหัวใจ มันรู้ได้อย่างไรว่าไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันรู้ของมันเพราะว่ามันสำรอกมันคายของมันไง มันไม่มีสิ่งใดที่เคลื่อนที่ในหัวใจไง มันไม่มีสิ่งใดที่จะเอาธาตุรู้นี้เคลื่อนไหวไปไง มันเคลื่อนไหวไม่ไปไหนไง มันไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต ไม่มีที่ไหนอีกแล้ว แล้วมันจะไปไหน ถ้าไม่ไปไหนแล้วมันเป็นอย่างไร

มันก็เป็นสัจธรรมในใจอันนั้นไง มันถึงไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันละเอียดลึกซึ้ง คำว่า “ละเอียดลึกซึ้ง” นะ เวลาพระปฏิบัติมา พระบวชมาก็พยายามออกธุดงค์ ออกค้นคว้า ออกหาสัจธรรมในใจของตน เวลาออกธุดงค์ไป ธุดงค์ไปทั่วประเทศ ธุดงค์ไปในป่าในเขา ก็เพื่อค้นคว้าหาใจของตน ได้ใจของตนขึ้นมาแล้วเป็นสมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน เวลาเกิดงานวิปัสสนาขึ้นมาในหัวใจขึ้นมา มันเกิดความมหัศจรรย์ในใจของเราขึ้นมา

เวลาเราทำงาน หัวปั่นเลยนะ เวลาทำงาน ยุ่งไปหมดเลย หัวปั่นเลย งานเสร็จ ไม่เสร็จ หัวปั่น นั่นเป็นงานเรื่องโลกๆ ไง แต่ถ้าเป็นงานวิปัสสนาในใจ วิปัสสนาการรู้แจ้ง ปัญญาที่รู้แจ้ง ที่ถอดถอนในใจ ปัญญาที่ถอดถอนในใจ แล้วครูบาอาจารย์ของเราถ้าเป็นธรรมๆ ท่านจะเอื้อเฟื้อ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้แค่เปิดทางให้

ในวงสังคมใดก็แล้วแต่ ในวงการพระก็เหมือนกัน เวลาพระปฏิบัติขึ้นมา พระที่เขาไม่ปฏิบัติ “เออ! รีบๆ ปฏิบัติเข้า จะได้เป็นพระอรหันต์ จะได้ไปนิพพาน” มันแซวไปเรื่อย มันพูด

แต่ถ้ามีสำนักปฏิบัติที่มีครูบาอาจารย์ท่านเปิด ท่านถากท่านถางทางให้ ท่านเปิดทางไว้ให้ ทำเต็มที่เลย ถ้าใครมันถากมันถาง ใครมันติมันเตียน ไอ้พวกหมาบ้า ตบปากมันเลย ไล่มันออกไป เพราะที่นี่มันที่ปฏิบัติ ไม่ใช่ที่แสดงกิเลส ไม่ใช่ที่ให้กิเลสมันฟูขึ้นมา มันเป็นสถานที่ปฏิบัติ นี่ถ้าครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงไง ท่านเปิดทางให้ ท่านพยายามปกป้องให้ แล้วท่านยังทำเป็นแบบอย่างอีกนะ ยังทำเป็นแบบอย่าง ยังคอยชี้ทางให้

สำนักปฏิบัติ ถ้าครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงๆ เป็นอย่างนั้น เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเกิดจากอะไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านเกิดในวันวิสาขบูชา ตั้งแต่ปฐมยาม ตั้งแต่มัชฌิมยาม ตั้งแต่ยามสุดท้าย มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แล้วท่านเกิดที่ไหน ท่านเกิดในป่าในเขาของท่าน ความสงบสงัดของท่าน นี่เวลามันเป็นจริงขึ้นมา เป็นจริงขึ้นมาในหัวใจ มันเกิดมรรคขึ้นมาในหัวใจ

เวลาท่านตรัสรู้แล้ว “จะสอนใครได้หนอ จะสอนใครได้หนอ”

จะสอนแล้วก็กระดานดำไง คอมพิวเตอร์ไง เปิดจอเลย แล้วก็ชี้ใหญ่เลย นี่เขาก็เรียนกัน ปริยัติเขาเรียนกันอย่างนี้ เรียนอย่างนี้มันเรียนปริยัติ มันมีความสำคัญไหม สำคัญว่าถ้ามีการศึกษา มีการเล่าเรียนอย่างนี้ ศาสนายังมีร่องมีรอยอยู่ นี่คือร่องรอย นี่คือแผ่นที่เครื่องดำเนิน แต่เวลาศึกษาแล้วได้ปฏิบัติไหม ได้ลงไปค้นในพื้นที่นั้นไหม แล้วพื้นที่นั้น พื้นที่ของตนหาเจอหรือไม่ สิ่งที่เป็นแผนที่ๆ แผนที่มันก็เป็นกิริยาที่แสดงออกมาจากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นธรรมะในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคนออกแบบให้เรามา แล้วใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ใจมันก็เหมือนดวงใจทั้งนั้นน่ะ

ทีนี้ถ้าดวงใจของเรา เราก็จะแสวงหาพื้นที่ในหัวใจของเรา ศึกษาแผนที่นั้นมาแล้วเราค้นคว้าหาพื้นที่ของตนให้เจอ ศึกษาจบแล้วทำสมาธิไม่เป็น ศึกษาจบแล้วภาวนาไม่เป็น หาพื้นที่ของตนไม่เจอ เจอแต่พื้นที่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทศนาว่าการธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วบอกมันเป็นอย่างไร

ก็ตำราว่าไว้อย่างนั้น ก็ธรรมะว่าไว้อย่างนั้น ตัวเองไม่รู้ เพราะหาพื้นที่ของตนไม่เจอ

เวลาหาพื้นที่ของตนเจอ แปลกอีก “นี่คืออะไร นี่คืออะไร” ทั้งๆ ที่เป็นแผนที่ของตนนะ แต่ถ้าเป็นเรื่องโลกๆ นะ เป็นจินตนาการ มันอธิบายได้หมดเลย พอเจอของตนมันอธิบายไม่ถูก แล้วจะวิปัสสนามันยิ่งไปไม่รู้เรื่องเลย นี่ถ้าไม่ปฏิบัติจะไม่รู้เรื่องสิ่งใดๆ เลย

แต่ถ้าปฏิบัติแล้วมันชัดเจน เพราะว่าศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล ดวงใจดวงใดที่ปฏิบัติไม่ได้ขึ้นมามันจะไม่มีเหตุมีผลขึ้นมา คนที่ไม่มีเหตุมีผล คนที่ทำไม่เป็น คนที่ไม่เคยเจอมันจะรู้ได้อย่างไร รู้ไม่ได้ ฟังอย่างไร จำอย่างไรก็รู้ไม่ได้ แต่ถ้าเป็นความจริงแล้วมันเป็นสัจจะในหัวใจดวงนั้น จะพลิกฟ้าคว่ำดินอย่างไรมันก็รู้ มันถึงเป็นอกุปปธรรมไง

เวลาเราบอกสรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจังนะ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายต้องเป็นอนัตตา ความเป็นอนัตตาเป็นสัจธรรม เป็นกิริยา เป็นวิธีการ เป็นการกระทำที่จิตมันจะเข้าไป แต่พอผลมันจบแล้วมันเป็นอกุปปธรรม มันไม่กลับมาเป็นอนัตตาอีกแล้ว มันไม่กลับมาเป็นอนิจจังอีกแล้ว ในเมื่อมันไม่มีการไปและไม่มีการมา มันไม่มีเหตุ ไม่มีสิ่งใดที่จะชักนำมันไป มันสิ้นสุดแล้ว มันจะเป็นอนัตตาได้อย่างไร มันไม่เป็นอนัตตาหรอก แต่มันไม่เป็นอย่างไรล่ะ ไม่เป็นอนัตตา มันไม่เป็นอย่างไร

ถ้าไม่เป็นอนัตตา มันก็เป็นอัตตาใช่ไหม อัตตา มันก็เป็นอาตมันใช่ไหม อาตมันก็เป็นฮินดูไง เป็นพราหมณ์ไง ไม่ใช่พุทธ ถ้าเป็นอาตมันก็เป็นพราหมณ์ ถ้าเป็นอนัตตา อนัตตามันก็ไม่มีตัวตน แล้วธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นิพพานมันเป็นอย่างไร สิ่งที่มันเป็นธรรมๆ มันเป็นอย่างไร

มันเป็นอย่างใดก็แล้วแต่ เราฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ ถ้าใครรู้แจ้งแล้วมันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก สันทิฏฐิโกคือมันมีอยู่จริง สัจจะความจริง แล้วได้จับต้องจริง เป็นจริงๆ ในใจดวงนั้น เอวัง